ทำไมคุณถึงรู้สึก “ตาแห้ง–แสบตา–เคืองตา” ตลอดทั้งวัน? หรือคุณกำลังเป็น
“โรคตาแห้ง” โดยไม่รู้ตัว? Health at Work สุขภาพดีมีคำตอบ
คุณเคยมีอาการเหล่านี้หรือไม่?
- ต้องพักงานเพื่อหยอดน้ำตาเทียม
- รู้สึกแสบตาเมื่อใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานาน
- พอจ้องหน้าจอไปนาน ๆ แล้วตาพร่ามัว มองไม่ชัด
- รู้สึกเหมือนมีฝุ่นหรืออะไรบางอย่างอยู่ในตา
- ต้องหรี่ตาหรือขยี้ตาบ่อยขณะทำงาน
หากคุณกำลังมีอาการเหล่านี้อยู่บ่อย ๆ มีโอกาสสูงที่คุณจะเป็น “โรคตาแห้ง” ซึ่งกำลังพบได้มากในคนวัยทำงานยุคนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือใช้อุปกรณ์ดิจิทัลติดต่อกันเป็นเวลานาน
โรคตาแห้งคืออะไร?
โรคตาแห้ง (Dry Eye Syndrome) คือ ภาวะที่ดวงตาขาดความชุ่มชื้นจากการผลิตน้ำตาน้อยลง หรือการระเหยเร็วผิดปกติ ทำให้ผิวตาแห้ง เกิดการอักเสบและระคายเคืองได้
แม้ดูเป็นเรื่องเล็ก แต่หากละเลย อาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการทำงานได้อย่างมาก เช่น มองเห็นไม่ชัด ตาแดงบ่อย หรือน้ำตาไหลตลอดเวลาเพราะร่างกายพยายามชดเชยความแห้ง
ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงเสี่ยง “ตาแห้ง” มากขึ้น?
พฤติกรรมในชีวิตประจำวันของคนยุคนี้มีส่วนอย่างมากต่อการเกิดโรคตาแห้ง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องทำงานหน้าจอ หรือมีพฤติกรรมที่ส่งผลต่อสุขภาพดวงตา เช่น
- จ้องจอนานเกินไป การเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตติดต่อกันหลายชั่วโมง จะทำให้เรากระพริบตาน้อยลงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวตาแห้ง
- พักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนหลับน้อยหรือไม่เต็มอิ่มจะส่งผลต่อการผลิตน้ำตาตามธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งน้ำตาเป็นกลไกหลักที่ช่วยหล่อเลี้ยงและปกป้องผิวตา
- อยู่ในห้องแอร์นาน ๆ เครื่องปรับอากาศจะทำให้ความชื้นในอากาศลดลง ส่งผลให้น้ำตาระเหยเร็วขึ้น ยิ่งถ้าลมแอร์เป่าโดยตรงเข้าที่หน้า ก็จะยิ่งทำให้ตาแห้งเร็วขึ้นอีก
- ใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน คอนแทคเลนส์จะครอบอยู่บนผิวตา ทำให้การกระจายของน้ำตาไม่สมดุล เพิ่มความเสี่ยงต่ออาการเคืองตาและแห้งตา โดยเฉพาะหากใส่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือใส่นอน
- การใช้เครื่องสำอางรอบดวงตา โดยเฉพาะอายไลเนอร์ที่เขียนบริเวณขอบเปลือกตาด้านใน อาจอุดตันต่อมน้ำมันบริเวณเปลือกตา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการระเหยของน้ำตา
สัญญาณเตือนว่าคุณอาจกำลังเป็นโรคตาแห้ง
อาการของโรคตาแห้งมักค่อยเป็นค่อยไป จนอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญปัญหา เพราะอาการมักมาแบบค่อยเป็นค่อยไป
ต่อไปนี้คืออาการที่ควรจับตา :
- แสบตา เคืองตา เหมือนมีฝุ่นอยู่ในตา
- ตาพร่าหรือมองไม่ชัดเป็นช่วง ๆ โดยเฉพาะหลังจ้องหน้าจอ
- น้ำตาไหลบ่อยโดยไม่มีสาเหตุ
- รู้สึกล้าตาหรือปวดเบ้าตาเวลาทำงาน
- ตาแดงหรือมีขี้ตาเหนียวโดยเฉพาะหลังตื่นนอน
- ต้องหยอดน้ำตาเทียมวันละหลายครั้งเพื่อให้สบายตา
หากมีอาการเหล่านี้มากกว่าวันละ 2-3 ครั้ง และไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับคำแนะนำในการดูแล
“ตาแห้ง” ไม่ใช่แค่ความรำคาญ แต่เป็น “โรคเรื้อรัง” ที่ต้องใส่ใจ
หากปล่อยให้อาการตาแห้งดำเนินต่อไปโดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดภาวะรุนแรงตามมาได้ เช่น การอักเสบเรื้อรังของกระจกตา การเกิดแผล หรือภาวะมองเห็นลดลงถาวร การรักษาและการปรับพฤติกรรมตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
เคล็ดลับง่าย ๆ ที่ช่วยลดปัญหาตาแห้งในชีวิตประจำวัน
- ใช้กฎ 20-20-20 ทุก ๆ 20 นาที มองออกไปไกล 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) นาน 20 วินาที ช่วยลดความล้าของกล้ามเนื้อตาและกระตุ้นให้กระพริบตามากขึ้น เป็นหลักการง่าย ๆ ที่จักษุแพทย์แนะนำ
- ดื่มน้ำให้พอวันละ 1.5-2 ลิตร น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำตา การดื่มน้ำเพียงพอช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้นจากภายใน
- หลีกเลี่ยงลมแอร์ที่เป่าตรงหน้า หากต้องนั่งใกล้ช่องแอร์ ให้เบี่ยงทิศทางลม หรือใช้แผ่นกรองลมเพื่อลดการระเหยของน้ำตา
- นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง ร่างกายจะซ่อมแซมและผลิตน้ำตาได้ดีขึ้นเมื่อนอนได้เต็มอิ่ม
- พิจารณาใช้แว่นกรองแสง (Blue Light Filter) แสงสีฟ้าจากหน้าจอสามารถกระตุ้นการทำงานของดวงตาให้หนักขึ้น ควรเลือกแว่นที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน
น้ำตาเทียมต้องเลือกให้เหมาะกับอาการ
การใช้น้ำตาเทียมเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยลดปัญหาตาแห้งได้ดี น้ำตาเทียมมีหลายรูปแบบ เช่น แบบน้ำ แบบเจล หรือแบบขี้ผึ้ง (สำหรับใช้ก่อนนอน) และอาจมีสารกันเสียหรือไม่มีสารกันเสีย การเลือกใช้ที่เหมาะสมกับอาการจะช่วยให้ผลลัพธ์ในการบรรเทาอาการดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในรายที่ต้องหยอดบ่อย ควรเลือกชนิด ไม่มีสารกันเสีย (preservative-free) เพื่อป้องกันการระคายเคืองสะสม
ตรวจน้ำตา วินิจฉัยโรคได้อย่างไร?
ในการวินิจฉัย แพทย์สามารถใช้การตรวจพิเศษ เช่น Schirmer Test ซึ่งเป็นการวัดปริมาณน้ำตาที่ผลิตได้ในช่วงเวลาหนึ่ง และอาจใช้การย้อมสีเพื่อดูความเสียหายของผิวตา ซึ่งจะช่วยให้แพทย์เลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เช่น ใช้ยาต้านอักเสบเฉพาะที่ หรือน้ำตาเทียมสูตรพิเศษ
โรคตาแห้งสามารถปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้ไหม?
นอกจากการปฏิบัติตัวง่าย ๆ เพื่อลดปัญหาตาแห้งที่ได้กล่าวไปแล้ว ข่าวดีคือ โรคตาแห้งโดยทั่วไปมักไม่อันตรายซึ่งสามารถวินิจฉัยและรักษาได้ในเบื้องต้น โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปโรงพยาบาล
เพียงปรึกษาแพทย์ออนไลน์ ผ่าน Line คลิก : @healthatwork
ได้ตลอด คุยได้ทันที ส่งยารวดเร็ว ไม่ต้องสำรองจ่าย*
คุณสามารถส่งรูปอาการหรืออธิบายอาการให้แพทย์วินิจฉัยเบื้องต้นได้ทันที
สิ่งที่คุณจะได้รับจากบริการนี้ :
- ปรึกษาแพทย์ออนไลน์แบบส่วนตัว
- ได้รับคำแนะนำเรื่องน้ำตาเทียมที่เหมาะกับอาการ (บางคนควรใช้แบบเจล หรือแบบไม่มีสารกันเสีย)
- รับยาหรือผลิตภัณฑ์ดูแลตาจัดส่งถึงบ้าน โดยไม่ต้องไปต่อคิวที่ร้านยา
- สอบถามอาการเพิ่มเติมได้ผ่านแชทกับทีมแพทย์
หรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คลิก OCEAN LIFE TELEMED Health at Work
ข้อควรทราบ
*สำหรับลูกค้าประกันชีวิตกลุ่มที่กรมธรรม์มีความคุ้มครอง OPD หรือลูกค้ารายเดี่ยวที่กรมธรรม์มีความคุ้มครอง OPD และกรมธรรม์มีผลบังคับมาแล้วไม่น้อยกว่า 120 วัน
- การรับประกันภัยเป็นไปตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กำหนด
- ความคุ้มครองและการจ่ายผลประโยชน์ต่าง ๆ เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์
- ค่าปรึกษาแพทย์และค่ายา จะถูกหักออกจากผลประโยชน์ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ หากค่าปรึกษาแพทย์และค่ายาเกินวงเงินผลประโยชน์ความคุ้มครองในกรมธรรม์ ลูกค้าจะต้องชำระค่าบริการส่วนต่างด้วยตนเอง หรือ เลือกไม่รับยาบางตัวเพื่อให้ค่าใช้จ่ายอยู่ในวงเงินผลประโยชน์ความคุ้มครองในกรมธรรม์
- สำหรับลูกค้าที่มีกรมธรรม์กับบริษัท แต่ไม่มีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) สามารถใช้บริการ Health at Work ได้ โดยลูกค้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายจากการใช้บริการด้วยตนเอง
- บริการ Health at Work ไม่สามารถให้บริการได้ในกรณีที่ ผู้ใช้บริการมีอาการเจ็บป่วยรุนแรง/ฉุกเฉิน ที่ต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน หรืออาการเจ็บป่วยที่ต้องไปรับการวินิจฉัยร่างกายโดยละเอียด
- การใช้บริการ Health at Work เป็นการใช้บริการบนแพลตฟอร์มที่ให้บริการโดย เฮลท์ แอท โฮม เมดิคอล คลินิกเวชกรรม ภายใต้บริษัทเฮลท์ แอท โฮม จำกัด โดยลูกค้าต้องเป็นผู้ลงทะเบียนแจ้งข้อมูลส่วนตัวด้วยตนเอง
- ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนด เงื่อนไข รายละเอียด หรือยกเลิก โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า